Thursday, 30 March 2023

เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”

ประท้วงในจีน นโยบายปลอดโควิดเป็นเหตุ ไล่เรียงที่มาการต่อต้านในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อขับไส “สี จิ้นผิง”

“ประเทศจีน” กับ “การต่อต้าน” ดูเหมือนจะเป็น 2 คำที่ไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้ ด้วยลักษณะการปกครองของจีนที่ออกจะเอาจริงเอาจังให้ประชาชนอยู่ใต้กฎข้อบังคับ จนประชาชนไม่กล้าหือกับทางการ

อย่างไรก็ดี ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทั้งโลกได้มองเห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้มองเห็น นั่นคือการต่อต้านในหลายพื้นที่ทั่วประเทศจีน แล้วก็รุนแรงถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ผู้นำจีน สี จิ้นผิง ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยพบมาก่อนตลอดระยะเวลาที่ดูแลประเทศ 10 ปี

หลายคนอาจสงสัยว่า เรื่องราวในประเทศจีนดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง นิวมีเดีย พีพีทีวี ได้ไล่ลำดับเหตุสำคัญที่นำมาสู่การต่อต้านใหญ่ครั้งนี้

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งพบการระบาดของ “ไวรัสโรคปอดปัญหา” ในเมืองอู่ฮั่น บริเวณหูเป่ย์ เป็นที่แรกในโลก แล้วก็เมื่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มันเป็นโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) ด้วยชื่อสากลว่า “โควิด-19” ทางการจีนก็ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” เมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรก

ประท้วงในจีน โควิด ล็อกดาวน์

ประท้วงในจีน มาตรการล็อกดาวน์คือการสั่งปิดเมือง

ห้ามคนเข้าออก แล้วก็ห้ามไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น กระนั้นโควิด-19 ก็ยังคงเล็ดรอดแล้วก็แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของจีนอยู่ดี ดังเช่น เมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซินเจียง เป็นต้น

ทางการจีนก็เลยประกาศนโยบาย “Zero COVID” หรือโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมแล้วก็ลดการระบาดของโควิด-19 ในระดับที่ต้องไม่พบผู้ติดโรคในประเทศเลย ผ่านมาตรการล็อกดาวน์แล้วก็กฎข้อบังคับที่เอาจริงเอาจังต่างๆ

อย่างไรก็ดี การล็อกดาวน์ที่นานเกินไปเริ่มทำให้เกิดผลเสียต่อชีวิตของผู้คน รวมทั้งต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจเริ่มก่อตัว ซึ่งประชาชนก็เลือกที่จะระบายความรู้สึกว่าไม่ถูกใจผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คภายในประเทศ ดังเช่น เวยปั๋ว

กลับกลายเป็นว่า ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรู้สึกว่าไม่ถูกใจที่ประชาชนมีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือการบอกเล่าเรื่องราวแล้วก็ผลกระทบด้านลบของการล็อกดาวน์ ดังเช่น การขาดแคลนของกิน การไม่อาจจะทำงานได้ กลับถูก “เซ็นเซอร์” แล้วก็ถูกลบออกจากโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมด

ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อโรงหมอชั่วคราวหรือสถานที่กักกันผู้ติดโรคนิดหน่อยมีสภาพที่เสื่อมโทรม แล้วก็เกิดการบังคับกักตัวอย่างผิดกฎหมายด้วยการใช้ความร้ายแรง

กระทั่งในเดือน เดือนพฤศจิกายน 2021 โลกพบการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) แล้วก็เปลี่ยนภัยคุกคามใหม่ต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน เมื่อมันสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ในช่วงกลางเดือน เดือนธันวาคม 2021 แล้วก็แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นในเซี่ยงไฮ้

ประชาชนจีนเห็นว่า การหลุดรอดเข้ามาของโอมิครอนเป็นสิ่งชี้นำว่า นโยบาย Zero COVID แล้วก็มาตรการล็อกดาวน์เป็นสิ่งที่ไม่มีสมรรถนะ ไม่มีประโยชน์ แล้วก็มีแต่ว่าจะสร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจจีนแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ความเชื่อมั่นและมั่นใจในทางการจีนของประชาชนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

นอกนั้น เซี่ยงไฮ้ถูกล็อกดาวน์ภายใต้มาตรการที่เอาจริงเอาจัง ทำให้ประชาชนขาดแคลนของกินแล้วก็ยา เวลาที่กฎสำคัญของการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้อย่าง “การแยกคนที่ติดโรคออกจากคนที่ไม่ติดโรค” ก็ทำให้มีการพรากลูกไปจากพ่อแม่โดยไม่ยินยอม นอกเหนือจากนั้น ยังมีการฆ่าสุนัขทิ้ง หากเจ้าของติดโควิด-19 ซึ่งจีนกล่าวถึงว่าเพื่อคุ้มครองปกป้องการกระจายเชื้อ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานเด่นชัดว่า สุนัขสามารถแพร่โควิด-19 มาสู่คนได้หรือเปล่า

หรือเมื่อครั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเสฉวนช่วงต้นเดือน ก.ย. ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ทางการจีน ด้วยเหตุว่ามีการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนอพยพหรือหนีออกจากอาคาร เนื่องมาจากยังมีการ “ล็อกดาวน์” คุ้มครองปกป้องโควิด-19 อยู่

เหตุกลุ่มนี้ทำให้ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจของประชาชนถูกสุมไปเรื่อยแล้วก็เกิดการปะทุระลอกเล็กในช่วงสิ้นเดือน เดือนตุลาคม ที่มีการต่อต้านในช่วงที่มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในช่วงขณะเดียวกัน ยังพบผู้ติดโรคในโรงงานของ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ฐานผลิตไอโฟนรายใหญ่ในเมืองเจิ้งโจว จนต้องล็อกดาวน์บุคลากรกว่า 200,000 คนไว้ในเขตโรงงาน แต่ว่าในวันที่มีการประกาศล็อกดาวน์ ปรากฏภาพแรงงานจำนวนหลายชิ้น “แห่หนีตาย” ออกจากโรงงาน ด้วยเหตุว่าไม่ได้อยากต้องการถูกกักตัว

ประท้วงในจีน Zero Covid สีจิ้นผิง

การล็อกดาวน์เสมือนจะเป็นระเบียบด้วยดี

แต่ว่าบุคลากรหลายร้อยคนกลับออกมาต่อต้าน ประท้วงในจีน ทำลายเครื่องใช้แล้วก็กล้องวงจรปิด นิดหน่อยทะเลาะวิวาทแล้วก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่ จนจะต้องมีการใช้แก๊สน้ำตา

บุคลากรระบุว่า พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ของกินที่จัดไว้ไม่เพียงพอเพียง บุคลากรใหม่หลายคนไม่ได้โบนัสพิเศษอย่างที่บริษัทคำสัญญาไว้ แล้วก็หลายคนเริ่มกลุ้มอกกลุ้มใจว่าโควิดจะระบาดลุกลาม

กระทั่งในช่วงกลางเดือน เดือนพฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ เริ่มมีสัญญาณบอกว่าทางการจีนกำลังจะยอมบรรเทามาตรการ ทำให้ชาวจีนพอเพียงจะมีหวังได้บ้างว่าจะหลุดพ้นจากความเคร่งครัดนี้เสียเชิง กับเริ่มมีการต่อต้านอย่างเป็นทางการหนแรกในกว่างโจวตอนวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน

แต่ว่าเมื่อเริ่มมีการบรรเทามาตรการนิดหน่อย จีนกลับรายงานพบผู้ติดโรคทะลุ 30,000 รายตั้งแต่ตอนวันที่ 23 เดือนพฤศจิกายน มากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในจีน จนมีการประกาศเข้มมาตรการอีกที

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชาวจีนระเบิดความรู้สึกว่าไม่ถูกใจออกมา คือเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมือง “อูหลู่มู่ฉี” ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งมีผู้ตาย 10 ราย

ที่ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจปะทุออกมาก็สืบไปมาจากนักผจญเพลิงไม่อาจจะฉีดน้ำเข้าไปดับไฟในอาคารได้ ด้วยเหตุว่ามี “แบร์ริเออร์” กั้นเขตล็อกดาวน์ แล้วก็รถราของผู้อาศัยในอะพาร์ตเมนต์กีดขวางอยู่

ความรู้สึกว่าไม่ถูกใจทั้งหมดที่ประชาชนชาวจีนสั่งสมมาเกือบ 3 ปีจึงระเบิดออก กลายเป็นการต่อต้านใหญ่ในหลายเมืองทั่วประเทศจีน โดยคำเรียกร้องของกลุ่มผู้คัดค้านคือ อยากให้มีการยกเลิกนโยบายปลอดโควิด เรียกร้องเสรีภาพสำหรับในการแสดงออก เรียกร้องให้ สี จิ้นผิง ลาออก แล้วก็เรียกร้องให้มีการยุบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ยังไม่มีผู้ใดสามารถประเมินได้ว่า ความโกลาหลภายในประเทศจีนครั้งนี้จะขยายตัวหรือรุนแรงขึ้นหรือเปล่า แต่ว่านี่นับว่าเป็นบทเรียนสำคัญของจีนเลยว่า การไม่รับฟังเสียงของประชาชนนั้น จะมีผลตามมายังไง จากความรู้สึกว่าไม่ถูกใจที่เป็นเสมือนเพียงแค่ไฟที่ปลายไม้ขีดไฟเล็กๆกลับลุกลามบานปลายกลายเป็นความโกรธที่รุนแรงระดับกองเพลิงกองย่อมๆ